“แก้ให้ตกเด้อ แก้บ่ตกคาพกเจ้าไว้ แก้บ่ได้แขวนคอต่องแต่ง แก้บ่พ้นคากันย่างยาย คาย่างยายเวียนตายเวียนเกิด เวียนเอากําเนิด ในภพทั้งสาม ภพทั้งสามเป็นเฮือนเจ้าอยู่”
◎ ชาติกําเนิดและชีวิตปฐมวัย
ท่านกําเนิดในสกุลแก่นแก้ว บิดาชื่อคําด้วง มารดาชื่อจันทร์ เพียแก่นท้าว
เกิดวันพฤหัสบดีเดือนยี่ ปีมะแม ตรงกับวันที่ ๒๐ เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๑๓ ณ บ้านคําบง ตําบลโขงเจียม อําเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ๗ คน ท่านเป็นบุตรคนหัวปี ท่านเป็นคนร่างเล็ก ผิวขาวแดง แข็งแรงว่องไวสติปัญญาดีมาตั้งแต่กําเนิด ฉลาดเป็นผู้ว่านอนสอนง่าย ได้เรียนอักขรสมัยในสํานักของอา คือ เรียนอักษรไทยน้อย อักษรไทย อักษรธรรม และอักษรขอมอ่านออกเขียนได้ นับว่าท่านเรียนได้รวดเร็ว เพราะมีความทรงจําดี และมีความขยันหมั่นเพียร ชอบการเล่าเรียนศึกษา
◎ ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรมและปฏิปทา
เมื่อท่านอายุได้ ๑๕ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรในสํานักวัดบ้านคําบง ใครเป็นบรรพชาจารย์ ไม่ปรากฏครั้นบวชแล้วได้ศึกษาหาความรู้ทางพระศาสนามีสวดมนต์และสูตรต่าง ๆ ในสํานักบรรพชาจารย์ จดจําได้รวดเร็ว อาจารย์เมตตาปรานีมาก เพราะเอาใจใส่ในการเล่าเรียนดี ประพฤติ ปฏิบัติเรียบร้อย เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ เมื่ออายุท่านได้ ๑๗ ปี บิดาขอร้องให้ลาสิกขาเพื่อช่วยการงานทางบ้าน ท่านก็ได้ลาสิกขาออกไปช่วยงานของบิดามารดาเต็มความสามารถ
ท่านเล่าว่า เมื่อลาสิกขาไปแล้วยังคิดที่จะบวชอีกอยู่เสมอไม่ลืมเลย คงเป็นเพราะอุปนิสัยในทางบวชมาแต่ก่อนอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งเพราะติดใจในคําสั่งของยายว่า “เจ้าต้องบวชให้ยาย เพราะยายก็ได้เลี้ยงเจ้ายาก” คําสั่งของยายนี้คอยสะกิดใจอยู่เสมอ
ครั้นอายุท่านได้ ๒๒ ปี ท่านเล่าว่า มีความอยากบวชเป็นกําลัง จึงอําลาบิดามารดาบวช ท่านทั้งสองก็อนุญาตตามประสงค์ ท่านได้เข้าศึกษาในสํานักท่านอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ วัดเลียบ เมืองอุบล จังหวัดอุบลราชธานี ได้รับอุปสมบทกรรมเป็นภิกษุภาวะในพระพุทธศาสนา ณ วัดศรีทอง (วัดศรีอุบลรัตนาราม) อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี พระอริยกวี (อ่อน) เป็นพระอุปัชฌายะ พระครูสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูประจักษ์อุบลคุณ (สุย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๖ พระอุปัชฌายะขนานนามมคธ ให้ว่า ภูริทตฺโต เสร็จอุปสมบทกรรมแล้ว ได้กลับมาสํานักศึกษาวิปัสสนาธุระกับพระอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ ณ วัดเลียบต่อไป
เมื่อแรกอุปสมบท ท่านพํานักอยู่วัดเลียบ เมืองอุบลเป็นปกติ ออกไปอาศัยอยู่วัดบูรพาราม เมืองอุบลบ้างเป็นครั้งคราว ในระหว่างนั้นได้ศึกษาข้อปฏิบัติเบื้องต้น อันเป็นส่วนแห่งพระวินัย คือ อาจาระ ความประพฤติมารยาท อาจริยวัตร และอุปัชฌายวัตรปฏิบัติได้เรียบร้อยดี จนเป็นที่ไว้วางใจ ของพระอุปัชฌาจารย์ และได้ศึกษาข้อปฏิบัติอบรมจิตใจ คือ เดินจงกรมนั่งสมาธิกับสมาทาน ธุดงควัตรต่าง ๆ
ในสมัยต่อไป ได้แสวงหาวิเวกบําเพ็ญสมณธรรมในที่ต่าง ๆ ตามราวป่า ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง หุบเขาซอกหวย ธารเขา เอื้อมเขา ท้องถ้ํา เรือนว่าง ทางฝั่งซ้ายแม่น้ําโขงบ้างทางฝั่งขวาแม่น้ําโขงบ้าง แล้วลงไปศึกษากับนักปราชญ์ทางกรุงเทพฯ จําพรรษาอยู่ที่วัดปทุมวนาราม หมั่นไปสดับธรรมเทศนา กับเจ้าพระคุณพระอุบาลี (สิริจันทเถระ จันทร์) ๓ พรรษา แล้วออกแสวงหาวิเวกในถิ่นภาคกลาง คือ ถ้ําสาริกา เขาใหญ่ นครนายก ถ้ำไผ่ขวาง เขาพระงามและถ้ําสิงห์โตลพบุรี จนได้รับความรู้ แจ่มแจ้งในพระธรรมวินัยสิ้นความสงสัยในสัตถุศาสนา จึงกลับมาภาคอีสาน ทําการอบรมสั่งสอน สมถวิปัสสนาแก่สหธรรมิก และอุบาสกอุบาสิกาต่อไป มีผู้เลื่อมใสพอใจปฏิบัติตามมากขึ้นโดยลําดับ มีศิษยานุศิษย์แพร่หลายกระจายทั่วภาคอีสาน
ในกาลต่อมา ได้ลงไปพักจําพรรษาที่วัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ อีก ๑ พรรษา แล้วไป เชียงใหม่กับเจ้าพระคุณอุบาลีฯ (สิริจันทเถระ จันทร์) จําพรรษาวัดเจดีย์หลวง ๑ พรรษา แล้ว ออกไปพักตามที่วิเวกต่าง ๆ ในเขตภาคเหนือหลายแห่ง เพื่อสงเคราะห์สาธุชนในที่นั้น ๆ นานถึง ๑๑ ปี จึงได้กลับมาจังหวัดอุบลราชธานี พักจําพรรษาอยู่ที่วัดโนนนิเวศน์ เพื่ออนุเคราะห์สาธุชนใน ที่นั้น ๒ พรรษา แล้วมาอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร จําพรรษาที่วัดป่าบ้านนามน ตําบลตองโขบ อําเภอเมืองสกลนคร (ปัจจุบันคือ อําเภอโคกศรีสุพรรณ) ๓ พรรษา จําพรรษาที่วัดป่าหนองผือ ตําบลนาใน อําเภอพรรณานิคม ๕ พรรษา เพื่อสงเคราะห์สาธุชนในถิ่นนั้น มีผู้สนใจในธรรมปฏิบัติ
ได้ติดตามศึกษาอบรมจิตใจมากมาย ศิษยานุศิษย์ของท่านได้แพร่กระจายไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย ยังเกียรติคุณของท่านให้ฟังเฟื่องเลื่องลือไป
◎ ธุดงควัตรที่ท่านถือปฏิบัติเป็นอาจิณ ๔ ประการ
๑. ปังสุกุลิกังคธุดงค์ ถือนุ่งห่มผ้าบังสุกุล นับตั้งแต่วันอุปสมบทมาตราบจนกระทั่งถึงวัยชรา จึงได้ผ่อนให้คหบดีจีวรบ้างเพื่ออนุเคราะห์แก่ผู้ศรัทธานํามาถวาย
๒. บิณฑบาติกังคธุดงค์ ถือภิกขาจารวัตรเที่ยวบิณฑบาตมาฉันเป็นนิตย์ แม้อาพาธ ไปในละแวกบ้านไม่ได้ก็บิณฑบาตในเขตวัด บนโรงฉันจนกระทั่งอาพาธ ลุกไม่ได้ในปัจฉิมสมัยจึง งดบิณฑบาต
๓. เอกปัตติกังคธุดงค์ ถือฉันในบาตรใช้ภาชนะใบเดียวเป็นนิตย์ จนกระทั่งถึงสมัย อาพาธหนักในปัจฉิมสมัยจึงงด
๔. เอกาสนิกังคธุดงค์ ถือฉันหนเดียวเป็นนิตย์ตลอดมา แม้ถึงอาพาธหนักในปัจฉิมสมัย ก็มิได้เลิกละ
ส่วนธุดงควัตรนอกนี้ได้ถือปฏิบัติเป็นครั้งคราวที่นับว่าปฏิบัติได้มาก ก็คือ อรัญญิกกังคธุดงค์ ถืออยู่เสนาสนะป่าห่างบ้านประมาณ ๒๕ เส้น หลีกเร้นอยู่ในที่สงัดตามสมณวิสัยเมื่อถึงวัยชราจึงอยู่ในเสานสนะป่าห่างจากบ้านพอสมควร ซึ่งพอเหมาะกับกําลังที่จะภิกขาจารบิณฑบาตเป็นที่ที่ ปราศจากเสียงอื้ออึงประชาชนเคารพยําเกรงไม่รบกวน
นัยว่า ในสมัยที่ท่านยังแข็งแรง ได้ออกจาริกโดดเดี่ยวแสวงวิเวกไปในป่าดงพงลึกจนสุดวิสัยที่ศิษยานุศิษย์จะติดตามไปถึงได้ก็มี เช่นในคราวไปอยู่ทางภาคเหนือเป็นต้น ท่านไปวิเวกบนเขาสูง อันเป็นที่อยู่ของพวกมูเซอร์ ยังชาวมูเซอร์ซึ่งพูดไม่รู้เรื่องกันให้บังเกิดศรัทธาในพระศาสนาได้
◎ ธรรมโอวาท พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
คําที่เป็นคติ อันท่านอาจารย์กล่าวอยู่บ่อย ๆ เพื่อเป็นหลักวินิจฉัยความดีที่ทําด้วยกาย วาจา ใจ แก่ศิษยานุศิษย์ ดังนี้
๑. ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นชื่อว่าดีเลิศ
๒. ได้สมบัติทั้งปวงไม่ประเสริฐเท่าได้ตนเพราะตัวตนเป็นที่เกิดแห่งสมบัติทั้งปวง
เมื่อท่านอธิบาย ตจปัญจกกรรมฐานจบลงมักจะกล่าวเตือนขึ้นเป็นคํากลอนว่า
“แก้ให้ตกเน้อ แก้บ่ตกคาพกเจ้าไว้ แก้บ่ได้แขวนคอต่องแต่ง แก้บ่พ้นคาก้นย่างยาย คาย่างยายเวียนตายเวียนเกิด เวียนเอากําเนิดในภพทั้งสาม ภาพทั้งสามเป็นเฮือน เจ้าอยู่” ดังนี้
เมื่อคราวท่านเทศนาสั่งสอนพระภิกษุ ผู้เป็นสานุศิษย์ถือลัทธิฉันเจ ให้เข้าใจทางถูกและ ละเลิกลัทธินั้นครั้นจบลงแล้วได้กล่าวคําเป็นคติขึ้นว่า
“เหลือแต่เว้าบ่เห็นบ่อนเบาหนักเดินปไป ตามทางสืถืกดงเสือฮ้าย”
ดังนี้แลการบําเพ็ญสมาธิเอาแต่เพียงเป็นบาทของวิปัสสนา คือ การพิจารณาก็พอแล้วส่วนการจะอยู่ในวิหารธรรมนั้น ก็ให้กําหนดรู้ ถ้าใครกลัวตายเพราะเด็ดเดี่ยวทางความเพียร ผู้นั้นจะกลับมาตายอีก หลายภพหลายชาติไม่อาจนับได้ ส่วนผู้ใดไม่กลัวตายผู้นั้น จะตัดภพชาติให้น้อยลงถึงกับไม่มีภพชาติเหลืออยู่ และผู้นั้นแลจะเป็นผู้ไม่กลับหลังมาหาบทุกข์อีกธรรมมะเรียนมาจากธรรมชาติ เห็นความเกิดความแปรปรวนของสังขารประกอบด้วยไตรลักษณ์ ปัจฉิมโอวาทของพระพุทธเจ้าแท้ๆ ถ้าเข้าใจในโอวาทปาฏิโมกข์ท่านพระอาจารย์มั่นแสดงโดย ยึด หลักธรรมชาติของศีลธรรมทางด้านปฏิบัติเพื่อเตือนนักปฏิบัติทั้งหลาย ท่านแสดงเอาแต่ใจความว่า
การไม่ทําบาปทั้งปวงหนึ่งการยังกุศลคือ ความฉลาดให้ถึงพร้อมหนึ่ง การชําระจิตของตน ให้ผ่องแผ้วหนึ่งนี้แลคือคําสอนทั้งหลายของพระพุทธเจ้า การไม่ทําบาป..ถ้าทางกายไม่ทําแต่ทางวาจาก็ทํา อยู่ถ้าทางวาจาไม่ทําแต่ทางใจก็ทําสั่งสมบาปตลอดวันจนถึงเวลาหลับพอตื่นจากหลับก็เริ่มสั่งสมบาป ต่อไปจนถึงขณะหลับอีก เป็นทํานองนี้โดยมิได้สนใจว่าตัวทําบาปหรือสั่งสมบาปเลยแม้กระนั้นยัง หวังใจอยู่ว่าตนมีศีลธรรม และคอยแต่เอาความบริสุทธิ์จากความมีศีลธรรมที่ยังเหลืออยู่แต่ชื่อเท่านั้น ฉะนั้นจึงไม่เจอความบริสุทธิ์ กลับเจอแต่ความเศร้าหมอง ความวุ่นวายภายในใจตลอดเวลา ทั้งนี้ เพราะตนแสวงหาสิ่งนั้นก็ต้องเจอสิ่งนั้น ถ้าไม่เจอสิ่งนั้นจะให้เจออะไรเล่า เพราะเป็นของที่มีอยู่ใน โลกสมมติอย่างสมบูรณ์
◎ ปัจฉิมบท
ในวัยชรานับแต่ พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นต้นมา ท่านหลวงปู่มั่น มาอยู่ที่จังหวัดสกลนครเปลี่ยนอิริยาบถไปตามสถานที่ วิเวกผาสุกวิหารหลายแห่ง คือ ณ เสนาสนะป่าบ้านนามน ตําบลตองโขบ อําเภอเมือง (ปัจจุบันเป็นอําเภอโคกศรีสุพรรณ) บ้าง ที่ใกล้ๆ แถวนั้นบ้าง ครั้น พ.ศ. ๒๔๘๗ จึงย้าย ไปอยู่เสนาสนะป่าบ้านหนองผือ ตําบลนาใน อําเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร จนถึงปีสุดท้ายแห่งชีวิต
ตลอดเวลา ๘ ปี ในวัยชรานี้ ท่านได้เอาธุระอบรมสั่งสอนศิษยานุศิษย์ทางสมถวิปัสสนา เป็นอันมาก ได้มีการเทศนาอบรมจิตใจศิษยานุศิษย์ เป็นประจําวัน ศิษย์ผู้ใกล้ชิดได้บันทึกธรรม เทศนาของท่านไว้และได้รวบรวมพิมพ์ขึ้นเผยแพร่แล้วให้ชื่อว่า “มุตโตทัย” ครั้นมาถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ซึ่งเป็นปีที่ท่านมีอายุย่างขึ้น ๘๐ ปี ท่านเริ่มอาพาธเป็นไข้ศิษย์ผู้อยู่ใกล้ชิดก็ได้เอาธุระรักษาพยาบาล ไปตามกําลังความสามารถอาพาธก็สงบไปบ้างเป็นครั้งคราว แต่แล้วก็กําเริบขึ้นอีก เป็นเช่นนี้เรื่อยมา จนจวนออกพรรษา อาพาธก็กําเริบมากขึ้น ข่าวนี้ได้กระจายไปโดยรวดเร็ว พอออกพรรษา ศิษยานุศิษย์ผู้อยู่ไกลต่างก็ทะยอยกันเข้ามาปรนนิบัติพยาบาล ได้เชิญหมอแผนปัจจุบันมาตรวจและรักษา แล้วนํามาพักที่เสนาสนะป่าบ้านดู่ อําเภอพรรณานิคม เพื่อสะดวกแก่ผู้รักษา และศิษยานุศิษย์ที่จะมาเยี่ยมพยาบาล อาการอาพาธมีแต่ทรงกับทรุดลงโดยลําดับครั้นเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ ได้นําท่านมาพักที่วัดป่าสุทธาวาสใกล้เมืองสกลนคร โดยพาหนะรถยนต์ของแขวงการทาง มาถึงวัดเวลา ๑๒.๐๐ น. เศษ ครั้นถึงเวลา ๒.๒๓ น. ของวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ศกเดียวกัน ท่านก็ได้ถึงแก่มรณภาพด้วยอาการสงบ ในท่ามกลางศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย มีเจ้าพระคุณพระธรรมเจดีย์ เป็นต้น สิริชนมายุของท่านอาจารย์ได้ ๗๙ ปี ๙ เดือน ๒๑ วัน รวม ๕๖ พรรษา
การบําเพ็ญประโยชน์ ของท่านหลวงปู่มั่นประมวลลงในหลัก ๒ ประการ ดังนี้
๑. ประโยชน์ชาติ ท่านหลวงปู่ได้เอาธุระเทศนาอบรมสั่งสอนศีลธรรมอันดีงามแก่ประชาชน พลเมืองของชาติในทุกๆ ถิ่นที่ท่านได้สัญจรไป คือ ภาคกลางบางส่วน ภาคเหนือเกือบทั่วทุกจังหวัด ภาคอีสานเกือบทั่วทุกจังหวัด ไม่กล่าวสอนให้เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองของประเทศ ทําให้พลเมืองของชาติผู้ได้รับคําสั่งสอน เป็นคนมีศีลธรรมดี มีสัมมาอาชีพง่ายแก่การปกครองของผู้ปกครอง ชื่อว่าได้บําเพ็ญประโยชน์แก่ชาติตามควรแก่สมณวิสัย
๒. ประโยชน์ศาสนา ท่านหลวงปู่ได้บรรพชาและอุปสมบทเข้ามาในพระพุทธศาสนานี้ด้วยความเชื่อ และความเลื่อมใสจริงๆ ครั้นบวชแล้วก็ได้เอาธุระศึกษา และปฏิบัติธรรมวินัยด้วยความอุตสาหะพากเพียรจริง ๆ ไม่ทอดธุระในการบําเพ็ญสมณธรรม ท่านปฏิบัติธุดงควัตรเคร่งครัดถึง ๔ ประการดังกล่าวแล้วในเบื้องต้น ได้ดํารงรักษาสมณกิจไว้มิให้เสื่อมสูญ ได้นําหมู่คณะฟื้นฟูปฏิบัติ ธรรมวินัยได้ถูกต้องตามพระพุทธบัญญัติ และพระพุทธโอวาท หมั่นอนุศาสน์สั่งสอนศิษยานุศิษย์ ให้ฉลาดอาจหาญในการฝึกฝนอบรมจิตใจตามหลักการสมถวิปัสสนา อันสมเด็จพระบรมศาสดาได้ตรัสสอนไว้ เป็นผู้มีน้ําใจเด็ดเดี่ยวอดทนไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมแม้จะถูกกระทบกระทั่งด้วย โลกธรรมอย่างไรก็มิได้แปรเปลี่ยนไปตาม คงมั่นอยู่ในธรรมวินัย ตามที่พระบรมศาสดาประกาศแล้วตลอดมา ทําตนให้เป็นทิฏฐานุคติแก่ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างดี ท่านได้จาริกไปเพื่อแสวงวิเวกตามที่ต่าง ๆ คือ บางส่วนของภาคกลางเกือบทั่วทุกจังหวัดในภาคเหนือ เกือบทุกจังหวัดของภาคอีสาน และแถมบางส่วนของต่างประเทศอีกด้วยนอกจากเพื่อวิเวกในส่วนตนแล้วท่านมุ่งไปเพื่อสงเคราะห์ ผู้มีอุปนิสัยในถิ่นนั้น ๆ ด้วย ผู้ได้รับสงเคราะห์ด้วยธรรมจากท่านแล้วย่อมกล่าวได้ด้วยความภูมิใจว่า ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา
ส่วนหน้าที่ในวงการคณะสงฆ์ ท่านหลวงปู่ได้รับพระกรุณาจากสมเด็จพระสังฆราชเจ้าในฐานะเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตติกา ให้เป็นพระอุปัชฌายะในคณะธรรมยุตติกา ตั้งแต่อยู่จังหวัดเชียงใหม่ และได้รับตั้งเป็นพระครูวินัยธร ฐานานุกรมของเจ้าพระคุณพระอุบาลีฯ (สิริจันทเถระ จันทร์) ท่านก็ได้ทําหน้าที่นั้นโดยเรียบร้อยตลอดเวลาที่ยังอยู่เชียงใหม่ ครั้นจากเชียงใหม่มาแล้ว ท่านก็งดหน้าที่นั้น โดยอ้างว่าแก่ชราแล้ว ขออยู่ตามสบาย
งานศาสนาในด้านวิปัสสนาธุระ นับว่าท่านได้ทําเต็มสติกําลังยังศิษยานุศิษย์ ทั้งบรรพชิต และคฤหัสถ์ให้อาจหาญรื่นเริงในสัมมาปฏิบัติตลอดมา นับแต่พรรษาที่ ๒๓ จนถึงพรรษาที่ ๕๙ อัน เป็นปีสุดท้ายแห่งชีวิตของท่าน อาจกล่าวได้ด้วยความภูมิใจว่าท่านเป็นพระเถระที่มีเกียรติคุณเด่น ที่สุดในด้านวิปัสสนาธุระรูปหนึ่งในยุคปัจจุบัน
* รวบรวมจาก อัตชีวประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต รวบรวมโดยพระอริยคุณาธาร วัดป่าเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น